วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การเมือง

ทางออกวิกฤตการเมือง ทางออกของทักษิณ - ไทยรักไทย






แม้เวลานี้แลดูแล้วการเมืองจะสับสนวุ่นวายเพิ่มมากขึ้นประการแรก เป็นความสับสนวุ่นวายอันเกิดขึ้นจากพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ที่ประกาศศึกกับ "ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ" ซึ่งยังหาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ และพฤติกรรมการเขียนจดหมายไปรายงานเหตุการณ์บ้านเมืองของไทยให้กับประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช แห่งสหรัฐอเมริกา รับทราบ

ซึ่งการกระทำทั้ง 2 ประการของ พ.ต.ท.ทักษิณทำให้เป็นเงื่อนไขแก่กลุ่มต่อต้านรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณในการที่จะประกาศรวมพลเพื่อประท้วงขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณออกจากตำแหน่งอีกครั้ง

แม้ว่า ในที่สุดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะเปลี่ยนแนวทางจากการชุมนุมประท้วงมาเป็นการนำจดหมายเปิดผนึกไปอ่านหน้าสถานทูต 6 แห่ง เพื่อตอบโต้ข้อความจดหมายที่ พ.ต.ท.ทักษิณส่งไปถึงประธานาธิบดีบุช แต่ก็ใช่ว่า เงื่อนไขนี้จะหดหายไปจากเกมการเมืองนี้ได้

เพราะทั้งการประกาศเป็นอริกับ "ผู้มีบารมี" และการส่งจดหมายถึงประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะกลายเป็นปมที่ชี้ถึงวุฒิภาวะผู้นำประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ

และจะกลายเป็นปมหนึ่งในการขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณออกจากตำแหน่ง

ประการที่สอง เมื่อพิจารณาถ้อยคำของนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ รักษาการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ตอบคำถามเกี่ยวกับกระแสข่าวการจะลาออกจากตำแหน่งแล้วน่าคิด

นายสุรนันทน์บอกว่า การทำงานต้องรับผิดชอบ 3 ระดับ คือ 1.ครอบครัว 2.องค์กร คือพรรคไทยรักไทย และ 3.ประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งข้อสุดท้ายนี้สำคัญที่สุด

"วันนี้ผมยังจำเป็นต้องทำงาน เพราะหน้าที่ต่างๆ ยังมีอยู่ หากวันใดวันหนึ่งรู้สึกไม่สบายใจ ก็ต้องหารือกับนายกฯ"

ผมไปอเมริกาก็เจอทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับนายกฯเหมือนกัน วันนี้อยากให้พรรคหันมาทบทวนตัวเอง มาหารือกันภายใน โดยยุทธศาสตร์ที่สำคัญคือ นายกฯและผู้บริหารพรรคควรจะปล่อยให้อีมครึมแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้ เพราะไม่เช่นนั้นจะเกิดเสียงเรียกร้องให้คนอื่นเข้ามาแทน"

และ "ทุกคนมีความเห็นที่แตกต่างได้ แต่ควรใช้เหตุผล ไม่ใช่ใช้กำลัง ผมเพิ่งวางหูโทรศัพท์จากเลขาฯนายกฯ โดยยืนยันว่าจะยังช่วยเหลือพรรคภายในกรอบ 3 อย่างที่พูดไปข้างต้นวันนี้คนในไทยรักไทยต้องแก้ปัญหาการเมือง ต้องคุยกันให้มากกว่านี้ และเคารพเสียงส่วนน้อยด้วย ทุกฝ่ายต้องลดทิฐิ ต้องระมัดระวังในสิ่งที่ทำให้ประชาชนรู้สึกไม่เป็นที่พึ่งของเขา"

อย่าลืมว่า นายสุรนันทน์เป็นคนที่ยืนอยู่ข้าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาตั้งแต่เข้าสู่สนามการเมือง จนกระทั่งถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มสายตรง พ.ต.ท.ทักษิณ

ดังนั้น คำให้สัมภาษณ์ของนายสุรนันทน์จึงเป็น "คำเตือน" เสียมากกว่า "คำตำหนิ" พรรค

ขณะเดียวกัน คำพูดของนายสุรนันทน์ก็สะท้อนให้เห็นความขัดแย้งทางความคิดภายในพรรคไทยรักไทยได้ไม่น้อย

เมื่อประจวบกับข่าวการลาออกของนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ นายวิษณุ เครืองาม และข่าวคราวการเตรียมตัวลาออกของรัฐมนตรีคนอื่นๆ แล้ว สามารถสรุปได้ว่า ภายในรัฐบาลและภายในพรรคไทยรักไทยเองก็เกิดอาการระส่ำระสายไม่ใช่น้อย

และปฏิเสธไม่ได้ว่ารักษาการรัฐมนตรีแต่ละคนต้องถูกกดดันเพื่อให้ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อให้รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณไม่สามารถทำงานได้ และยอมจำนนในที่สุด

ประการสุดท้าย คือ การปล่อยข่าวการลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณออกมาในรูปของข่าวจากสำนักข่าวกรอง แต่เมื่อตรวจสอบลงไปถึงต้นตอข่าว กลับพบว่ามีความน่าเชื่อถือได้น้อย

ข่าวลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณจึงแลดูไร้สาระ

แต่ในความไร้สาระก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์ เพราะอย่างน้อยเมื่อข่าวชิ้นนี้ถูกปล่อยออก หน่วยงานความมั่นคงที่รับผิดชอบความปลอดภัยของรักษาการนายกรัฐมนตรีก็ต้องขยับ

การปล่อยข่าวเช่นนี้ย่อมเป็นการป้องกันมิให้ พ.ต.ท.ทักษิณได้รับอันตรายจากการลอบสังหาร

เช่นเดียวกับการปล่อยข่าวเรื่องการปฏิวัติที่สามารถป้องกันการฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม หากสังเกตให้ดี ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมเพื่อขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือการกดดันให้รัฐมนตรีในรัฐบาลลาออก หรือข่าวการลอบสังหาร ล้วนแล้วแต่มีนัยยะทางการเมืองแทบทั้งสิ้น

เป็นนัยยะตามความเชื่อที่ว่า เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณพ้นไปแล้ว วิกฤตการเมืองจะมีทางออก

แต่ในความเป็นจริง หาก พ.ต.ท.ทักษิณต้องพ้นจากตำแหน่งไปโดยการถูกขับไล่ หรือถูกปฏิวัติ หรือถูกฆ่า ก็ไม่ใช่ทางออกของวิกฤตทางการเมือง

ขณะเดียวกันกลับจะไปสร้างวิกฤตการเมืองให้เกิดมากขึ้น

ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุดแห่งวิกฤตการเมืองยังคงเป็นทางออกเดิมคือ การทำให้ประเทศไทยมีการเลือกตั้งทั่วไป

การทำให้ประเทศไทยมีการเลือกตั้งทั่วไป เป็นทั้งทางออกที่ดีที่สุดของฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและฝ่ายพรรคการเมือง รวมทั้งพรรคไทยรักไทยด้วย

เพราะแม้ว่าตอนนี้พรรคไทยรักไทยจะยังเป็นรัฐบาลรักษาการ แต่ก็เป็นรัฐบาลรักษาการที่อมทุกข์

ผู้นำประเทศต้องผวากับข่าวการลอบสังหาร เสถียรภาพของรัฐบาลหวั่นไหวกับข่าวคราวการลาออกของรัฐมนตรี ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณก็ต้องทนฟังเสียงก่นด่าทุกวัน

สถานการณ์เช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบถึงการบริหารภายในพรรค

กระทบต่อเสถียรภาพภายในพรรค

เพราะทุกมุ้ง ทุกก๊วน กำลังรอคอยความแน่นอน

ซึ่งความแน่นอนที่ดีที่สุดคือ การสนับสนุนให้มีการเลือกตั้งใหม่ ที่ได้รับการยอมรับ

แต่ขณะนี้ กกต.จำนวน 3 คน ในปัจจุบัน คือ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ นายปริญญา นาคฉัตรีย์ และนายวีระชัย แนวบุญเนียร ไม่ได้รับการยอมรับในความเป็นกลาง

ทางออกที่ดีที่สุด คือ การให้ กกต.ทั้ง 3 คนลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้มีการสรรหา กกต. ชุดใหม่ มาทำหน้าที่จัดการเลือกตั้ง แต่จนถึงขณะนี้ ก็ยังปรากฏว่า กกต.ทั้ง 3 คน ไม่ยอมลาออก ทำให้ทางออกที่ดีที่สุดนี้ใช้การไม่ได้

เมื่อใช้การไม่ได้ ความปั่นป่วนทางการเมืองก็เกิดขึ้นแบบไม่จบไม่สิ้น











เพลง : tik tok
ศิลปิน : kesha
เนื้อเพลง :

Wake up in the morning
Feeling like P Diddy
(Hey what up girl?)
Grab my glasses
I’m out the door
I’m gonna hit this city (Let’s go)


Before I leave brush my teeth
With a bottle of Jack
Cause when I leave for the night
I ain’t coming back
I’m talking
Pedicure on our toes toes
Trying on all our clothes clothes
Boys blowing up our phones phones


Drop-topping
Playing our favorite cds
Pulling up to the parties
Trying to get a little bit tipsy


Don’t stop make it pop
DJ blow my speakers up
Tonight I'm a fight
‘Til we see the sunlight
Tick tock on the clock
But the party don’t stop no


Whoa-oh oh oh
Whoa-oh oh oh


Don’t stop make it pop
DJ blow my speakers up
Tonight I'm a fight
‘Til we see the sunlight
Tick tock on the clock
But the party don’t stop no



Whoa-oh oh oh
Whoa-oh oh oh


Ain’t got a care in the world
But got plenty of beer
Ain’t got no money in my pocket
But I’m already here


And now the dudes are lining up
Cause they hear we got swagger
But we kick ‘em to the curb
Unless they look like Mick Jagger


I’m talking about
Everybody getting crunk crunk
Boys trying to touch my junk junk
Gonna smack him if he getting too drunk drunk


Now now
We going ‘til they kick us out out
Or the police shut us down down
Police shut us down down
Po-po shut us


Don’t stop make it pop
DJ blow my speakers up
Tonight I'm a fight
‘Til we see the sunlight
Tick tock on the clock
But the party don’t stop no


Whoa-oh oh oh
Whoa-oh oh oh


Don’t stop make it pop
DJ blow my speakers up
Tonight I'm a fight
‘Til we see the sunlight
Tick tock on the clock
But the party don’t stop no


Whoa-oh oh oh
Whoa-oh oh oh


DJ you build me up
You break me down
My heart it pounds
Yeah you got me
With my hands up
You got me now
You got that sound
Yea you got me
DJ you build me up
You break me down
My heart it pounds
Yeah you got me
With my hands up
Put your hands up
Put your hands up


No the party don’t start 'til I walk in


Don’t stop make it pop
DJ blow my speakers up
Tonight I'm a fight
‘Til we see the sunlight
Tick tock on the clock
But the party don’t stop no


Whoa-oh oh oh
Whoa-oh oh oh

Don’t stop make it pop
DJ blow my speakers up
Tonight I'm a fight
‘Til we see the sunlight
Tick tock on the clock
But the party don’t stop no


Whoa-oh oh oh
Whoa-oh oh oh





เนื้อเพลง แปล


ตื่น นอน ตอน เช้า
รู้สึก เหมือน P Diddy
(เดี๋ยวก่อน สิ่ง up สาว?)
คว้า แก้ว ของ ฉัน
ฉัน ออก จาก ประตู
ฉัน gonna ตี เมือง นี้ (ขอ ไป)


ก่อน ที่ จะ ออก จาก แปรง ฟัน ของ ฉัน
กับ ขวด Jack
ทำให้ เมื่อ ออก จาก คืน
ฉัน จะ ไม่ กลับ มา
ฉัน พูด
ทำ เล็บ เท้า กระหย่ง เท้า ของ เรา
พยายาม ทั้งหมด เสื้อผ้า เสื้อผ้า ของ เรา
ชาย เป่า ค่า โทรศัพท์ ของ โทรศัพท์


แบบ เลื่อน ขึ้น เหนือ
เล่น ซีดี โปรด ของ เรา
ดึง ขึ้น แก่ บุคคล
พยายาม ที่ จะ ได้ เมา นิด ๆ


ไม่ ได้ หยุด ให้ pop
DJ พัด พูด ของ ฉัน ขึ้น
คืน นี้ ฉัน กำลัง ต่อสู้
'Til เรา เห็น แสงแดด
สัญญา ลับ กับ นาฬิกา
แต่ บุคคล ที่ ไม่ ได้ หยุด ไม่


Whoa-แหม แหม แหม
Whoa-แหม แหม แหม


ไม่ ได้ หยุด ให้ pop
DJ พัด พูด ของ ฉัน ขึ้น
คืน นี้ ฉัน กำลัง ต่อสู้
'Til เรา เห็น แสงแดด
สัญญา ลับ กับ นาฬิกา
แต่ บุคคล ที่ ไม่ ได้ หยุด ไม่



Whoa-แหม แหม แหม
Whoa-แหม แหม แหม


ไม่ ได้ รับ การ ดูแล ใน โลก
แต่ มี มากมาย เบียร์
ไม่ ได้ ไม่มี เงิน ใน กระเป๋า เสื้อ ของ ฉัน
แต่ ฉัน อยู่ ที่ นี่


และ ตอน นี้ dudes เป็น แถว
ทำให้ พวก เขา ได้ยิน เรา ได้ เก่งแต่ปาก
แต่ เรา เตะ 'em เพื่อ เหนี่ยวรั้ง
จนกว่า พวก เขา จะ มี ลักษณะ เหมือน Mick Jagger


ฉัน กำลัง พูด ถึง
ทุก คน crunk รับ crunk
ชาย พยายาม จับ ขยะ ขยะ ของ ฉัน
Gonna ตี เขา ถ้า เขา เริ่ม เมา เมา เกินไป


ปัจจุบัน นี้
เรา จะ 'til พวก เขา เตะ เรา ออก จาก
หรือ ตำรวจ ปิด เรา ลง มา
ตำรวจ ปิด เรา ลง มา
Po-PO ปิด เรา


ไม่ ได้ หยุด ให้ pop
DJ พัด พูด ของ ฉัน ขึ้น
คืน นี้ ฉัน กำลัง ต่อสู้
'Til เรา เห็น แสงแดด
สัญญา ลับ กับ นาฬิกา
แต่ บุคคล ที่ ไม่ ได้ หยุด ไม่


Whoa-แหม แหม แหม
Whoa-แหม แหม แหม


ไม่ ได้ หยุด ให้ pop
DJ พัด พูด ของ ฉัน ขึ้น
คืน นี้ ฉัน กำลัง ต่อสู้
'Til เรา เห็น แสงแดด
สัญญา ลับ กับ นาฬิกา
แต่ บุคคล ที่ ไม่ ได้ หยุด ไม่


Whoa-แหม แหม แหม
Whoa-แหม แหม แหม


DJ ที่ คุณ สร้าง ฉัน
คุณ ทำลาย ฉัน ลง
หัวใจ มัน ปอนด์ ของ ฉัน
จ้ะ คุณ มี ฉัน
ด้วย มือ ของ ฉัน ขึ้น
คุณ มี ฉัน ตอน นี้
คุณ มี เสียง ที่
จ้ะ คุณ มี ฉัน
DJ ที่ คุณ สร้าง ฉัน
คุณ ทำลาย ฉัน ลง
หัวใจ มัน ปอนด์ ของ ฉัน
จ้ะ คุณ มี ฉัน
ด้วย มือ ของ ฉัน ขึ้น
ใส่ มือ ของ ขึ้น
ใส่ มือ ของ ขึ้น


ไม่มี บุคคล ที่ ไม่ ได้ เริ่ม ต้น 'til ฉัน เดิน ใน


ไม่ ได้ หยุด ให้ pop
DJ พัด พูด ของ ฉัน ขึ้น
คืน นี้ ฉัน กำลัง ต่อสู้
'Til เรา เห็น แสงแดด
สัญญา ลับ กับ นาฬิกา
แต่ บุคคล ที่ ไม่ ได้ หยุด ไม่


Whoa-แหม แหม แหม
Whoa-แหม แหม แหม

ไม่ ได้ หยุด ให้ pop
DJ พัด พูด ของ ฉัน ขึ้น
คืน นี้ ฉัน กำลัง ต่อสู้
'Til เรา เห็น แสงแดด
สัญญา ลับ กับ นาฬิกา
แต่ บุคคล ที่ ไม่ ได้ หยุด ไม่


Whoa-แหม แหม แหม
Whoa-แหม แหม แหม

วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2552




แนวทางการศึกษาต่อ

มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

เหตุผล : เป็นมหาลัยที่ใฝ่ฝันเอาไว้ และพ่อแม่ก็สนับสนุน

มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
“ ความรู้คู่ความดี ”

ข้อมูลทั่วไป

อักษรย่อ
มกท./BU
ชื่อภาษาอังกฤษ
Bangkok University
วันสถาปนา
พ.ศ. 2505
ประเภท
เอกชน
สีประจำสถาบัน
แสด - ม่วง

มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เป็นสถาบันอุดมศึกษาเอกชน เริ่มแรกนั้นได้รับการก่อตั้งในชื่อ “โรงเรียนไทยเทคนิค” เมื่อปี พ.ศ. 2505 โดยอาจารย์สุรัตน์ และอาจารย์ปองทิพย์ โอสถานุเคราะห์ ต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อเป็น “วิทยาลัยกรุงเทพ” และได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น “มหาวิทยาลัยกรุงเทพ” ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2527 โดยจัดการเรียนการสอนใน 9 คณะ รวมทั้ง วิทยาลัยนานาชาติ และบัณฑิตวิทยาลัย ครอบคลุมสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ ปัจจุบัน เปิดดำเนินการสอน ใน 2 วิทยาเขต ได้แก่ วิทยาเขตกล้วยน้ำไท กรุงเทพมหานคร และวิทยาเขตรังสิต จังหวัดปทุมธานี






ประวัติ


มหาวิทยาลัยกรุงเทพถือกำเนิดขึ้นมาจากการก่อตั้ง "โรงเรียนไทยเทคนิค" ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2505 โดยอาจารย์ ร.ต.อ.สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ (เจ้าของบริษัทในเครือโอสถสภา) โรงเรียนตั้งอยู่ในที่ดินในซอยบ้านกล้วยใต้ ริมถนนพระราม 4 (ปัจจุบัน คือ ที่ตั้งของวิทยาเขตกล้วยน้ำไท) ซึ่งในสมัยนั้นยังเป็นถนนลูกรังอยู่ แต่เป็นย่านค้าขายของเหล่าบรรดานายห้างต่างชาติรวมถึงท่าเรือสินค้าที่คลองเตยด้วย
ต่อมา มีการเปลี่ยนชื่อสถาบันใหม่เป็น "วิทยาลัยกรุงเทพ" หรือ Bangkok College เนื่องจาก ชื่อเดิมสร้างความสับสนต่อประชาชนทั่วไปที่คิดว่าเป็นโรงเรียนอาชีวศึกษา การจัดการศึกษาของโรงเรียนในสมัยแรก ๆ ไม่ได้รับการรับรองจากทางราชการไทย เนื่องจากเป็นวิทยาลัยเอกชนแห่งแรกที่เปิดสอนในระดับปริญญา ผู้บริหารโรงเรียนจึงได้ขอความร่วมมือทางวิชาการจาก มหาวิทยาลัยแฟรลีดิกคินสัน (Fairleigh Dickinson University) จากสหรัฐอเมริกา ในการรับรองวิทยฐานะของปริญญา โดยในสมัยนั้นผู้ที่ศึกษาจบการศึกษาจากวิทยาลัยกรุงเทพจะได้รับปริญญา 2 ใบ คือ จาก วิทยาลัยกรุงเทพ และมหาวิทยาลัยแฟรลีดิกคินสันด้วย[1]
เมื่อวิทยาลัยกรุงเทพเป็นที่ยอมรับในสังคมไทยมากขึ้น การขยายตัวก็มีขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน ก็มีการเกิดขึ้นของวิทยาลัยเอกชนอีกหลาย ๆ แห่งไม่ว่าจะเป็น วิทยาลัยการค้า วิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ การแข่งขันของสถาบันการศึกษาเอกชนเริ่มมีมากขึ้น ผู้บริหารจึงมีโครงการที่จะขยายและยกฐานะขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย แต่ไม่ได้รับการอนุญาตจากทางราชการไทย จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2527 วิทยาลัยกรุงเทพจึงได้รับการยกฐานะจากทางราชการไทยให้เป็น "มหาวิทยาลัยกรุงเทพ" ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2527[2]
มหาวิทยาลัยกรุงเทพได้มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว การขยายตัวนี้นำมาซึ่งการเปิดวิทยาเขตแห่งใหม่ที่รังสิต จังหวัดปทุมธานี ห่างจาก ท่าอากาศยานกรุงเทพ ไปตามถนนพหลโยธิน 14 กิโลเมตร ภายในพื้นที่กว่า 400 ไร่ ซึ่งผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยมีความหวังที่จะสร้างวิทยาเขตรังสิตให้เป็นมหาวิทยาลัยที่มีบรรยากาศเหมือนมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศอังกฤษ และสหรัฐอเมริกาที่ตั้งอยู่ชานเมือง มีสวน มีต้นไม้ มีทะเลสาบ และมีอาคารที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ด้วยความห่างไกลความเจริญของรังสิตในสมัยนั้น มหาวิทยาลัยกรุงเทพวิทยาเขตรังสิตถูกขนานนามว่าเป็น กระท่อมปลายนา จากการเรียกของนักศึกษา








สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย


สัญลักษณ์มหาวิทยาลัยฯ (2527-2547)
ตราประจำมหาวิทยาลัย

มหาวิทยาลัยกรุงเทพใช้รูปเพชร เป็นตราประจำมหาวิทยาลัยมาโดยตลอดตั้งแต่แรกเริ่มก่อตั้ง แต่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบมาแล้วหลายครั้ง โดยในรูปแบบดั้งเดิมนั้น เรียกว่า เพชรในชัยพฤกษ์ ซึ่งเป็นตราที่ประกอบไปด้วยรูปเพชร และล้อมรอบด้วยช่อชัยพฤกษ์ แต่ปัจจุบัน (ตั้งแต่ปีการศึกษา 2548) มีการเปลี่ยนแปลงตรามหาวิทยาลัยใหม่ แต่ยังคงเป็นรูปเพชร ซึ่งออกแบบให้มีลักษณะความทันสมัยมากขึ้นและเพิ่มเติมสีสัน เพื่อให้สื่อความหมายต่างๆ มากขึ้นด้วย
ที่มาของตรามหาวิทยาลัยรูปเพชรนั้น แท้จริงแล้ว มีที่มาจากชื่อผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยคือ อาจารย์สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ คำว่า สุรัตน์ แปลว่า แก้วอันประเสริฐ ซึ่งก็คือ เพชร นั่นเอง การนำเพชรมาเป็นตรามหาวิทยาลัย จึงเป็นการให้เ กียรติ และเป็นการระลึกถึงผู้ก่อตั้งสถาบันการศึกษาแห่งนี้นั่นเอง นอกจากนั้น เพชรยังสื่อความหมายถึงคุณค่า และความแข็งแกร่ง และมหาวิทยาลัย เปรียบเสมือนสถานที่เจียรไนนักศึกษา ให้กลายเป็นเพชรที่มีเกียรติ มีคุณค่า มีความมั่นคงแข็งแกร่ง และเป็นที่ยอมรับในสังคม
สีประจำมหาวิทยาลัย
ที่มาของสีสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยนั้น จากหลักฐานและบันทึกทางประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัย แต่เดิมมหาวิทยาลัยใช้ สีเขียวอมฟ้า เป็นสีประจำมหาวิทยาลัย ดังจะเห็นได้จาก ปกเสื้อครุยของบัณฑิตรุ่นแรก ๆ ที่เป็นสีเขียวอมฟ้า และจากเพลงมาร์ชของมหาวิทยาลัย ที่ยังคงมีเนื้อร้องว่า ธงเขียวเชิดให้เด่นไกลนานเนาว์ มาจนถึงปัจจุบัน
ปัจจุบัน ได้เปลี่ยนมาใช้ สีม่วง และ สีแสด เป็นสีประจำมหาวิทยาลัย โดยการเปลี่ยนแปลงสีประจำมหาวิทยาลัยนั้น เพื่อเป็นเกียรติกับสองบูรพาจารย์ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย เนื่องจากสีม่วงเป็นสีประจำวันเสาร์ และสีแสดเป็นสีประจำวันพฤหัสบดี
ต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย
ต้นชัยพฤกษ์ เป็นต้นไม้มงคลที่ใช้ในพิธีการมงคลตามความเชื่อของคนไทย นำมาใช้เป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงปลูกต้นชัยพฤกษ์ ณ บริเวณด้านหน้าอาคารฝั่งทิศใต้ ของอาคารหอสมุดสุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ นับเป็นพระกรุณาธิคุณและเป็นมิ่งขวัญของชาวมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ที่ต้นชัยพฤกษ์แห่งมิ่งมงคลนี้ จะหยั่งรากลึกลงในหัวใจของชาวมหาวิทยาลัยกรุงเทพสืบต่อไป
เพลงประจำมหาวิทยาลัย
เพลงประจำมหาวิทยาลัย ที่ใช้ในพิธีการและโอกาสต่างๆ นั้น มีทั้งเพลงมาร์ช และเพลงความรู้คู่ความดี เป็นเพลงที่ใช้มาตั้งแต่มีการก่อตั้งมหาวิทยาลัย ลักษณะคำร้อง ทำนอง และแนวดนตรี จึงเป็นไปในลักษณะย้อนยุค
คณะและวิทยาลัย
บัณฑิตวิทยาลัย
คณะบริหารธุรกิจ
คณะบัญชี
คณะนิเทศศาสตร์
คณะนิติศาสตร์
คณะมนุษยศาสตร์
รุยวิทยฐานะ
ครุย หรือ Gown เป็นเครื่องแต่งกายแสดงวิทยฐานะของผู้สวมใส่ และแสดงความเป็นบัณฑิตแห่งสถาบัน ใช้สำหรับในพิธีการสำคัญของมหาวิทยาลัย เช่น พิธีไหว้ครู พิธีประสาทปริญญาบัตร เป็นต้น ชุดครุยวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ใช้รูปแบบเสื้อคลุมแบบยุโรปสมัยกลาง โดยเป็นเสือคลุมยาวคลุมเข่า สีดำ สำหรับบัณฑิตระดับปริญญาโทขึ้นไปมีแถบกำมะหยี่สีดำที่สาบเสื้อและแขนเสื้อทั้งสอง
ปกเสื้อครุย หรือ Hood เป็นผ้าสามเหลี่ยมที่คล้องคอโดยให้ชายปกห้อยไปทางด้านหลัง ปกเสื้อครุยจะเป็นผ้ากำมะหยี่สีต่างๆ ขลิบด้วยสีส้มซึ่งเป็นสีประจำมหาวิทยาลัย โดยปกเสื้อครุยจะมีสีสันที่ต่างกันไปตามสีของคณะ ซึ่งมีสีและควาหมายดังนี้
คณะบัญชี สีฟ้า ซึ่งเป็นสีแห่งทะเล สัญลักษณ์แห่งเส้นทางหลักของการค้าขายในอดีตจนปัจจุบัน
คณะบริหารธุรกิจ สีแดง ซึ่งเป็นสีสัญลักษณ์แห่งความมุ่งมั่นเพื่อเป้าหมายทางธุรกิจ
คณะนิเทศศาสตร์ สีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีของน้ำหมึก สัญลักษณ์แห่งการสื่อสารและการพิมพ์
คณะนิติศาสตร์ สีม่วง ซึ่งเป็นสีของเสื้อคลุมของผู้พิพากษาในสมัยกลาง สัญลักษณ์แห่งความยุติธรรม
คณะมนุษยศาสตร์ สีเหลืองทอง ซึ่งเป็นสีสัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมมนุษย์
คณะเศรษฐศาสตร์ สีเขียวเข้ม ซึ่งเป็นสีสัญลักษณ์ของการเกษตร อันเป็นเศรษฐกิจหลักของประเทศ
คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สีน้ำตาล ซึ่งเป็นสีของดิน ต้นกำเนิดของสรรพสิ่งบนพื้นโลก
คณะศิลปกรรมศาสตร์ สีชมพูกลีบบัว ซึ่งเป็นสีของดอกบัวที่พ้นน้ำ ตามหลักธรรมคำสอนเรื่องบัวสี่เหล่าของพระพุทธเจ้า
คณะวิศวกรรมศาสตร์ สีแดงเข้ม หรือสีเลือดหมู ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญและเป็นหนึ่งเดียวกัน
วิทยาลัยนานาชาติ ใช้สีตามหลักสูตรหรือสาขาวิชาในคณะที่สังกัด[3]
วิทยาเขต
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เปิดดำเนินการสอนใน 2 วิทยาเขต ได้แก่
วิทยาเขตกล้วยน้ำไท
ตั้งอยู่ ณ เลขที่ 119 ซอยสุขุมวิท 40 (ซอยบ้านกล้วยใต้) แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร มีพื้นที่ 25 ไร่ 3 งาน 49 ตารางวา เป็นสถานที่เรียนของนักศึกษาชั้นปีที่ 3-4 ภาคปกติ นักศึกษาวิทยาลัยนานาชาติทุกชั้นปี นักศึกษาปริญญาโทและเอก และนักศึกษาภาคพิเศษ สถานที่ทำการของสำนักงานอธิการบดี วิทยาลัยนานาชาติ บัณฑิตวิทยาลัย คณะวิชาต่างๆ ห้องปฏิบัติการ ห้องเรียน ห้องสัมมนา สำนักหอสมุด ศูนย์คอมพิวเตอร์ศูนย์กีฬาในร่มและหน่วยงานบริการอื่นๆ
วิทยาเขตรังสิต
ตั้งอยู่ ณ เลขที่ 9/1 หมู่ 5 ถนนพหลโยธิน ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ห่างจากท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมืองไปทางทิศเหนือประมาณ 14 กิโลเมตร มีพื้นที่ 441 ไร่ 1งาน 67 ตารางวา เป็นสถานที่ศึกษาของนักศึกษาในระดับปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ คณะบริหารธุรกิจ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ และนักศึกษาชั้นปีที่ 1-2 ของคณะบัญชี คณะมนุษยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นอกจากนี้ ยังเป็นสถานที่ตั้งของสนามกีฬา มหาวิทยาลัยกรุงเทพ หอสมุดสุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ และพิพิธภัณฑสถานเครื่องถ้วยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการศึกษาวิจัยเครื่องถ้วยโบราณที่สำคัญและสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
วิทยาเขตรังสิต ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 14001 ทั้งระบบจากสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ซึ่งนับเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับรองมาตรฐาน ISO 14001 ทั้งระบบ[4]
ความสัมพันธ์กับสถาบันต่างประเทศ
มหาวิทยาลัยมีความสัมพันธ์กับสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ ทั่วโลกเป็นอย่างดี นำมาซึ่งความร่วมมือและการสนับสนุนทางด้านวิชาการรวมทั้งด้านวัฒนธรรมในโครงการต่างๆ เช่น โครงการแลกเปลี่ยนคณาจารย์และนักศึกษา โครงการศึกษาดูงาน ตลอดจนการพบปะแลกเปลี่ยนความรู้ทางด้านการบริหารมหาวิทยาลัยระหว่างผู้บริหารระดับสูงมหาวิทยาลัยกรุงเทพเป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ที่ได้รับเชิญเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมอธิการบดีระหว่างประเทศ (International of University Presidents IAUP) ซึ่งในปี 2527 ดร.เจริญ คันธวงศ์ อธิการบดีกิตติคุณ ได้รับเลือกเป็นเลขาธิการ และดร.ธนู กุลชล อธิการบดีได้รับเลือกเป็นผู้ช่วยเลขาธิการ โดยมีวาระการดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 3 ปี
ในด้านการพัฒนาคุณภาพเกี่ยวกับการเรียนการสอนและบุคลากร หรืออาจารย์ผู้สอน มหาวิทยาลัยได้รับการสนับสนุนในด้านวิชาการจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงดีเด่นของประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ อาทิ
ประเทศสหรัฐอเมริกา
California State University, Sacramento
Fairleigh Dickinson University
Interlink Language Ceneter
Ohio University
Pittsburg State University
University of Massuchusetts-Amherst
University of Montana
University of Nebraska-Lincoln
University of New Orleans
Southern Illinois University
ประเทศญี่ปุ่น
Dohto University
Kansai Gaidai University
Osaka International University
Osaka University of Economics
เครือรัฐออสเตรเลีย
Deakin University
The University of Canberra
สาธารณรัฐฟินแลนด์
Mikkeli Polytechnic
Satakunta Polytechnic
ราชอาณาจักรนอร์เวย์
Alesund University College
Hedmark University College
สาธารณรัฐเกาหลี
Hannam University
Sungkyunkwan University
สาธารณรัฐประชาชนจีน
Beijing Polytechnic University
Hubei Correspondence University
สาธารณรัฐออสเตรีย
Management Center Innsbruck
Steyr School of Management, University of Applied Sciences
สหรัฐเม็กซิโก
The Instituto Technological Y De Estudios Superiores De Monterrey
สาธารณรัฐฮังการี - ฝรั่งเศส
Ecole Superieure Des Sciences Commerciales D'Angers (ESSCA)
ราชรัฐโมนาโค
University of Southern Europe-Monaco
ราชอาณาจักรกัมพูชา
Norton University
ประเทศมาเลเซีย
Universiti Utara Malaysia
ราชอาณาจักรสวีเดน
Malardalen University
สถานที่สำคัญ
หอพระพุทธสุรัตนมุนี (หลวงพ่อเพชร) - เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสุรัตนมุนี ปางนาคปรก พระพุทธรูปประจำมหาวิทยาลัย ลักษณะเป็นศาลาทรงไทยตรีมุข ก่ออิฐถือปูน ประกอบด้วยลวดลายไทยอย่างวิจิตรงดงาม องค์พระหล่อด้วยสำริด รมดำทั้งองค์ ฐานพญานาคประดับด้วยกระจกสี ด้านหน้าหอพระ มีแผ่นศิลาจารึกพระพุทธโอวาทของพระพุทธเจ้า
หอสมุดสุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ (Surat Osathanugrah Library) - เป็นหอสมุดกลางของมหาวิทยาลัย ตั้งอยู่ที่วิทยาเขตรังสิต เป็นอาคารสูง 5 ชั้น ให้ชื่อเพื่อเป็นเกียรติแด่ร้อยตำรวจเอกสุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย
อาคารนิเทศศาสตร์คอมเพล็กซ์ ปองทิพย์ โอสถานุเคราะห์ - เป็นกลุ่มอาคารสำหรับการศึกษาทางด้านนิเทศศาสตร์ และการสื่อสารมวลชน ตั้งอยู่ใกล้กับทะเลสาบ ภายในมหาวิทยาลัยที่วิทยาเขตรังสิต
พิพิธภัณฑสถานเครื่องถ้วยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ - จัดตั้งขึ้นเนื่องในโอกาสที่มหาวิทยาลัยมีอายุครบรอบ 40 ปี ซึ่งอาจารย์สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย ได้กรุณามอบศิลปโบราณวัตถุ จำนวนกว่า 2,000 รายการ เพื่อให้เป็นแหล่งศึกษาหาความรู้ของนักเรียน นักศึกษา ตลอดจนประชาชนทั่วไป โดยห้องจัดแสดงอยู่บริเวณชั้นใต้ดินของหอสมุดสุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 1,872 ตารางเมตร แบ่งออกเป็นห้องนิทรรศการถาวร ห้องนิทรรศการพิเศษ คลังพิพิธภัณฑสถานเพื่อการศึกษา สำนักงาน และร้านจำหน่ายของที่ระลึก
โรงละครแบล็กบ็อกซ์ - เป็นโรงละครแบบบรอดเวย์ ที่มีลักษณะเฉพาะคือ ทุกสิ่งทุกอย่างในโรงละครเป็นสีดำ สร้างด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ใช้เป็นสถานที่แสดงละครเวทีของนักศึกษา
บียู เรสโตรองต์ - เป็นภัตตาคารจำลอง ของภาควิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ตั้งอยู่ที่อาคาร ศูนย์ประชาสัมพันธ์ (ประตู 1) วิทยาเขตกล้วยน้ำไท ให้บริการเฉพาะอาหารกลางวัน ทุกวันอังคาร-วันเสาร์ ระหว่างเวลา 11.00-14.00 น. ยกเว้นช่วงสอบ และปิดภาคการศึกษา วัตถุประสงค์ที่สำคัญในการเปิดดำเนินการ คือ ให้นักศึกษาได้มีโอกาสนำความรู้มาปฏิบัติจริง ได้เรียนรู้ และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างปฏิบัติงาน ฝึกการทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะ เหนือสิ่งอื่นใด นักศึกษาจะต้องเรียนรู้ และเข้าใจว่า จะต้องให้บริการอย่างสุดความสามารถ
หอศิลป์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ - เป็นสถานที่จัดแสดงผลงานทางศิลปะต่างๆ ทั้งศิลปินอาชีพ ศิลปินอิสระ นักศึกษาทั้งในและต่างประเทศ
บุคคลที่มีชื่อเสียงจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ
รายนามบุคคลจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ
แทมมารีน ธนสุกาญจน์ นิติศาสตร์บัณฑิต รุ่นที่ 33
ดนัย อุดมโชค
ธัญญาเรศ รามณรงค์ นิเทศศาสตรบัณฑิต รุ่นที่ 32
สรยุทธ สุทัศนะจินดา นิเทศศาสตรบัณฑิต รุ่นที่ 22
แอน ทองประสม นิเทศศาสตรบัณฑิต รุ่นที่ 33

น่าสนใจ








โลกจะอวสานจริงหรือ

1.ทางวิทยาศาสตร์ NASA ออกมาบอกว่าสนามแม่เหล็กโลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลง2.ทางโหราศาสตร์ บ่งบอกว่าจะเกิดการเรียงตัวกันของ โลก กาแล็คซี่ทางช้างเผือก และดวงอาทิตย์3.ทางโบราณคดี ชาวมายามีปฏิทินถึงเพียงแค่ปี 2012 และระบุวันจุดจบของโลกไว้4.ทางการทำนาย นอสตราดามุสได้ทำนายไว้กับราศีตีความแล้วสอดคล้องกับทางโหราศาสตร์5.ทาง UFO ผู้ที่ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้อ้างว่ามนุษย์ต่างดาวได้บอกเค้า(แล้วแต่ความเชื่อ)6.ทางความคิดผมเอง ศาสนาพุทธและคริส ได้ระบุวันจุดจบไว้แล้วในปี พุทธศักราชและคริสศักราชคำทำนายเรื่องวันสิ้นโลกนี้ มาจากวันในปฏิทินของชาวเผ่ามายัน (ชาวเผ่าโบราณที่อาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาตอนกลาง) ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ 21 ธันวาคม ปีคศ. 2012 ไม่ว่าจะทางใด ดูจากหลาย ๆ ทางแล้วชี้ไปในปีเดียวกัน ความเชื่อมั่นกับสิ่งที่จะเกิดในปี 2012 นั้นน่าจะมีอะไรเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่ ๆ แต่ที่แน่ ๆ ในปัจจุบันผมมั่นใจว่ามันน่าจะเริ่มเกิดขึ้นแล้ว โดยสังเกตุจากผลกระทบจากภัยธรรมชาตินี่เอง เมื่อกลับมามองดูปี 2012 ก็เลยมานั่งพิจรณาดูเล่น ๆ (การนับเลขฐานสิบจะนับศูนย์ถึงเก้า) ถ้าเราตัดเลขสองออกก็จะได้เลขนับ 0->1->2 เมื่อมาดูเป็นปี พ.ศ. มันเป็นปี 2555 (เลยสวยมาก) ถ้าเราตัดเลขสองออกเช่นกัน จะได้เลข 5 เรียงตัวกัน 3 ตัวผมขอโยงไปเรื่องโหราศาตร์ที่จะมี โลก กาแล็คซี่ และดวงอาทิตย์ ที่จะเกิดการเรียงตัวกัน ผลลัพธ์นั้นคงบอกไม่ได้ อาจเกิดผลกระทบรุนแรงต่อโลกหรืออาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยก็ได้ เพราะสิ่งที่เราไม่รู้นั้นยังมีอีกมากมายทั้งในอวกาศและจักรวาล1.ปฏิทินมายันทำไมต้องเชื่อปฏิทินของชาวเผ่ามายันเป็นที่ยอมรับว่าปฏิทินของชาวมายันมีความเที่ยงตรงอย่างมาก เที่ยงตรงกว่าปฏิทินระบบที่เราใช้กันในสากลมากมาย เพราะชาวมายันทำปฏิทินจากระบบดวงดาว โดยปฏิทินนี้ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนอะไรเลยถึง 380,000 ปี (ในขณะที่ปฎิทินที่เราใช้ต้องมี Leap Year ทุกๆ 4 ปีเป็นต้น)จะเกิดอะไรขึ้นในวันนั้นคำถามนี้เป็นปัญหาโลกแตก (literally speaking) จริงๆ เพราะนอกจากจะเกี่ยวกับเรื่องวันสิ้นโลกแล้ว ยังเป็นคำถามที่ไม่มีใครให้คำตอบที่แน่นอนได้ มีเพียงการคาดเดา การผูกโยงข้อมูลต่างๆ เพื่อทำนายถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันสิ้นโลก (ดู http://www.december212012.com/articles.shtml) เหตุการณ์ที่คาดเดากันว่าจะเกิดและเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องมีทั้งเรื่องของ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติบนดวงอาทิตย์ที่จะเกิดผลกระทบยิ่งใหญ่กับระบบสุริยะจักรวาลและโลกของเรา ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นจนถึงวันที่ 21 ธันวา 2012 การเปลี่ยนขั้วของขั้วโลกเหนือใต้ ฯลฯแล้วชาวมายันทำนายไว้ว่าอย่างไรชาวมายันไม่ได้เขียนชัดเจนว่า วันที่ 21 ธันวา 2012 จะเป็นวันสิ้นสุดของโลก มีผู้คนจำนวนมากเชื่อว่า มันคือวันที่โลกจะเปลี่ยนแปลงจากยุคหนึ่งเป็นอีกยุคหนึ่ง และเรามีหน้าที่ที่จะต้องเตรียมรับมือกับวันนั้นให้ได้ เพื่อความอยู่รอดจากการเปลี่ยนแปลง และหลังจากวันนั้น โลกของเราจะมีสันติสุขอย่างแท้จริงปฏิทินของชาวมายันโดยคร่าวจากปฏิทินของชาวมายัน เรากำลังอยู่ในช่วงปลายของ 1 วันแห่งระบบจักรวาล หรือ End of a Galactic Day ซึ่งระยะเวลา 1 วัน แห่งระบบจักรวาลนั้นยาวนานถึง 25,625 ปี และแบ่งได้เป็น 5 ช่วง ช่วงละ 5,125 ปี และขณะนี้เราอยู่ในช่วงปลายของช่วงที่ 5 แล้ว ชาวมายันบอกว่า นับจากปี 1999 เราจะมีเวลา 13 ปีที่จะปรับเปลี่ยนทัศนคติและจิตสำนึกของการอยู่บนโลกใบนี้เพื่อที่จะรอดจากการทำลายล้าง และในขณะเดียวกัน ก็ก้าวสู่เส้นทางที่จิตสำนึกใหม่ปูให้กับการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ตามศาสตร์ของชาวมายัน ทุกๆ 5,125 ปี ดวงอาทิตย์จะเกิดปรากฏการณ์บางอย่างที่สัมพันธ์กับศูนย์กลางทางช้างเผือกอันกว้างใหญ่ และจากปรากฏการณ์นั้นเอง ดวงอาทิตย์จะได้รับ “ประกายไฟ” (Spark of light) ซึ่งทำให้ดวงอาทิตย์ส่องแสงและส่งผ่านความร้อนรุนแรงมากขึ้น อย่างที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า “Solar Flares” และยังทำให้ขั้วแม่เหล็กของดวงอาทิตย์เปลี่ยนแปลง ซึ่งส่งผลต่อมายังโลก เกิดการสับเปลี่ยนขั้วโลก และทำให้เกิดหายนะทางธรรมชาติตามมามากมาย ปรากฏการณ์เหล่านี้ ชาวมายันเชื่อว่าเป็นเพียงกระบวนการทางธรรมชาติกระบวนการหนึ่งที่จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างสม่ำเสมอ เปรียบเหมือนการหายใจของคน และจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงหรือหยุดไป เหตุการณ์เหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว 4 ครั้ง (4 รอบแรกของปรากฏการณ์จากดวงอาทิตย์) และจะเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่ 5 เมื่อครบ 5,125 ปี ซึ่งก็คือวันที่ 21 ธันวาคม 2012 นั่นเอง2.Planet X NIBIRU Planet X NIBIRU ที่มีวงโคจรตัดกับวงโคจรของโลกเราจะตัดผ่านมาใกล้โลกอีกครั้ง ดาวดวงนี้จะผ่านมาที่วงโคจรของเราทุกๆ3600 ปีนั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทวีปแอตแลนติกหายไป นั่นอาจเป้นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่องโนฮากับเรือสมัยน้ำท่วมโลกดาวดวงนี้จะเข้ามาใกล้โลกเรื่อยๆปี 2009 จะสามารถมองเห็นทางขั้วโลกใต้ด้วยกล้องส่องดาวปี 2011 จะสามารถมองเห้นด้วยตาเปล่า ขนาดเท่าดวงจันทร์ของเรา ดาวดวงนี้เป็นสีแดงปี 2012 จะเริ่มมีปฏิริยาต่อมวลสภาพอากาศบนโลก เศษหินในอวกาศที่มากับดาวนิบิรุจะตกลงมาบนพื่นโลก เป็นฝนดาวตกอันตรายต่อมวลชีวิตทั้งโลกวันที่ 21 ธันวาคม 2012 หายนะครั้งยิ่งใหญ่จะเกิดบนพื้นแผ่นดิน อย่างใครไม่เคยคาดคิดมาก่อนวัน14 กุมภาพันธ์ 2013 วันนั้นเป็นวันที่ โลก +นิบิรุ+ดวงอาทิตย์ โคจรมาอยู่แนวแกนเดียวกัน แกนแม่เหล็กโลกจะเปลี่ยนไปโลกจะหยุดหมุนรอบตัวเอง 3 วัน แผ่นดินจะแยกตัวเป็นเสี่ยง น้ำทะเลจะเป็นคลื่นมหาอภิสึนามิ ถล่มตามเมืองชายทะเลทุกแห่ง เมื่อแผ่นดินเคลื่อนตัวตามเปลือกโลก ลาวาก็จะถลักขึ้นมาเกิดเป็นภูเขาไฟมากมาย3.UFOบอก????(แล้วแต่ความเชื่อ)“อูแรนเดอร์ โอลิเวียร่า” ผู้ซึ่งอ้างว่าเคยได้ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวผู้โด่งดังนั้น ก็อ้างว่าเขามีโทรจิตที่เห็นภาพอนาคตจากการบอกเล่าของมนุษย์ต่างดาว ว่าในปี ค.ศ.2012 นั้น จะมีแสงสว่างมากที่สุดในกาแลกซี่และสะท้อนไปยังดาวเคราะห์ที่โคจรรอบตัว สิ่งมีชีวิตและโลกจะปั่นป่วนอย่างยิ่ง4.หลุมดำ????ในที่นี้ก์อคือทั้งหลุมดำของแกแล็กซี่ทางช้างเผือกและวหลุมดำพที่อาจเกิดขึ้นเองตามที่มนุษย์สร้างCERNในทางศาสนาพุทธถึงอย่างไรก็ยังผู้แย้งว่าพระพุทธเจ้าได้เคยตรัสกับพระอานนท์ไว้ว่าในพุทศศาสนาจะมีอายุ5000ปีและมันจะเสื่อมลงในตัวของมันเอง


2010 วันสิ้นโลกและปฏิทินของชาวมายา






ปฏิทินมายา เกี่ยวอะไรกับปี 2010
(บทความโดยคุณ Sonic)
ชาว มายาวัดขนาดของเวลาจากเล็กไปสู่ใหญ่ จากวินาทีเป็นนาที ชั่วโมง วัน เดือน ฯลฯ อารยธรรมตะวันตกวัดเวลาตามปฏิทินเกรเกอเรียนซึ่งกินเวลา 365 วัน/ปี อันเป็นคาบเวลาที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ถัดจากปีเราก็มายืนอยู่บนเลขฐาน 10 นั่นคือ 10 ปีต่อ 1 ทศวรรษ, 10 ทศวรรษต่อ 1 ศตวรรษ, 10 ศตวรรษต่อ 1 สหัสวรรษ บลา บลา บลา...

แต่ปฏิทินของชาวมายานั้นแตกต่างออกไปเพราะ ตั้งอยู่บนค่าของเลข 20 เป็นหลัก 1 คินจะแทนค่าแทน 1 วัน นับตามแบบของเราคือโลกหมุนรอบตัวเองครบ 1 รอบ อุยนัลแทนค่า 1 เดือนประกอบด้วย 20 คิน
ส่วนปีของมายาแทนด้วนทันอันประกอบด้วย 18 อุยนัลหรือ 360 คิน(ใกล้เคียงกับ 365 วันของพวกเรามากทีเดียว) 1 คาทันของชาวมายาเทียบได้กับทศวรรษของพวกเราเพียงแต่ยาวกว่า 2 เท่า เพราะระบบเลขของพวกเขาคือฐาน 20
ดังนั้น 1 คาทันจะมีความยาวประมาณ 19.5 ปี สำหรับ 1 แบ็กทันจะยาว 20 คาทันหรือประมาณ 394.5 ปี
จุดเริ่มการสร้างสรรค์ของชาวมายาตามบันทึกของพวกเขาซึ่งบันทึกเวลาได้เที่ยงตรงมากนั้นจะอยู่ประมาณ 3116

ปีก่อน ค.ศ. วงจรนี้จะกินเวลา 13 แบ็กทันของพวกเขาหรือ 5129 ปีของพวกเรา แบ็กทันที่เก้าสิ้นสุดลงราวปี ค.ศ. 830
ดัง นั้นจุดสิ้นสุดของแบ็กทันที่ 13 จึงจะอยู่ที่ ค.ศ. 2012 โดยประมาณ ทีนี้ก็มาถึงประเด็นสำคัญล่ะว่า หนึ่งวงจรของชาวมายานั้นมีความสำคัญอย่างไรและนี่คือปฏิทินเทียบระหว่างปฏิทินของเรากับวงจรของชาวมายา รอบแบ็กทัน ปฏิทินมายา ปฏิทินเกรเกอเรียน เหตุการณ์สำคัญ
1 1.0.0.0.0 3116-2734 BC จุดเริ่มต้น
2 2.0.0.0.0 2734-2339 BC ยุคปิระมิด
3 3.0.0.0.0 2339-1944 BC ยุคล้อ
4 4.0.0.0.0 1944-1550 BC อารยธรรมอียิปต์
5 5.0.0.0.0 1550-1155 BC อารยธรรมบ้านเชียง
6 6.0.0.0.0 1155 - 761 BC สงครามม้า
7 7.0.0.0.0 761-366 BC ยุคปรัชญา
8 8.0.0.0.0 366 BC - ค.ศ. 28 ยุคเมสไซอาห์
9 9.0.0.0.0 ค.ศ. 28-422 อาณาจักรโรมัน
10 10.0.0.0.0 ค.ศ. 422-817 มายา
11 11.0.0.0.0 ค.ศ. 817-1211 สงครามครูเสด
12 12.0.0.0.0 ค.ศ. 1211-1606 ยุคล่าอาณานิคม
13 13.0.0.0.0 ค.ศ. 1606-2012~ ยุคอุตสาหกรรมใหม่

... เป็นอันว่าเราเกือบครบรอบวงจรใหญ่ของชาวมายากันแล้ว โดยนับจากแบ็กทันแรกถึงแบ็กทันที่สิบสามตามเวลาปฏิทินของมนุษย์ยุคใหม่เราส่วนการอ่านปฏิทินตัวเลขของชาวมายานั้นให้อ่านแบบนี้ครับ ดูตัวเลขที่เรียกลำดับกัน 5 กลุ่ม แต่ละกลุ่มนั้นจะแทนช่วงลำดับเวลา ตามนี้
แบ็กทัน, คาทัน, ทัน, อุยนัล, คิน

คิน = 1 วัน

อุยนัล = 20 คิน

ทัน = 360 คิน

คาทัน = 20 ทัน (7200 คิน)

แบ็กทัน = 20 คาทัน (144000 คิน)
จากนั้นก็คูณตัวเลขในแต่ละช่วงเวลาออกมาเพื่อให้ได้จำนวนวันจริงๆ

แล้ว เอาจำนวนวันจริงๆไปบวกจุดอ้างอิงของเราคือ 3116 BC. เราก็จะได้วันที่ตามปฏิทินสากลของเราแบบเท่ากันทุกประการ เป็นทฤษฎีที่หลุดโลกมาเลยใช่ไหมล่ะ ในข้อที่ว่าบรรพบุรุษของชาวมายาได้เดินทางจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้นมาเยือนโลก พิภพของเรา เพื่อภารกิจในการสอดประสานระหว่างโลกมนุษย์กับแกแล็กซี่อื่น คุณอาจจะกำลังบริภาษอยู่ในใจว่าบ้าไปแล้วแน่ๆมีหลักฐานหรือเปล่าว่าชาวมายาเดินทางมาจากดาวเคราะห์ดวงอื่น พวกเขามาที่โลกของเราได้ยังไง นั่งเรือมาเรอะ?

หลักฐานการเดินทางล่ะมีไหม เอาล่ะ มีคำอยู่สองคำที่คุณต้องทำความรู้จักเอาไว้เสีย นั่นคือคำว่า ฮูแน็บ คู กับ คูซาน ซูอัม
คำ ว่าฮูแน็บ คู หมายถึงผู้ให้การเคลื่อนไหวและมาตรวัดเดียว เป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่ดำรงอยู่เหนือดวงอาทิตย์ เหนือแกนแกแล็กซี่ที่เป็นจุดกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่าง
ส่วนคำหลังคือ คูซาน คูอัม ถนนสู่ท้องฟ้าที่นำไปสู่แกนแกแล็กซี่หรือฮูแน็บ คู ส่วนที่ตั้งของ ฮูแน็บ คู
ตาม แผนที่ดาราศาสตร์ปัจจุบันคือจุดระหว่างดาวฤกษ์สองดวงในกลุ่มดาวเซ็นทอร์ใต้ มีระห่างจากโลกของเรา 139 ปีแสง จุดเชื่อมระหว่างโลกและดาวอันไกลโพ้นของชาวมายาดวงนี้ก็คือ คูซาน ซูอัม นั่นเอง

ปากาล โวทาน ผู้นำชาวมายาผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาอาณาจักรมายาคลาสสิคมีความรุ่งเรืองถึงขีดสุดในยุคการปกครองของเขาปา กาลตายในปี ค.ศ. 683 ภาพนี้คัดลอกมาจากภาพนูนแกะสลักบนฝาหินของเขาที่พบใน ค.ศ. 1952 ในอุโมงค์ฝังศพที่ตบแต่งไว้อย่างสวยงาม ในวิหารแห่งคำจารึก (Temple of inscriptions) ที่พาเลงกอในเชียพัส ประเทศเม็กซิโก นักคิดนักเขียนบางคนเรียกปากาลว่าผู้แทนแห่งแกแล็กซี่ ผู้อาศัยคูซาน ซูอัม เพื่อไปถึง ฮูแน็บ คู หลังจากที่ภารกิจของเขาลุล่วงไปแล้ว
...อ่าน แล้วก็ขนลุกขนพองตามใช่ไหม ทีนี้ก็มาถึงประเด็นสำคัญอีกประเด็นว่าทำไมถึงเป็นชาวมายา ไม่ใช่อียิปต์ อินคา หรือ สุเมเรียนที่เป็นอารยชนที่ยิ่งใหญ่พอๆกัน บอกได้เพียงแต่ชาวมายาก็มีอิทธิพลไม่น้อยในอารยธรรมอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น คำว่ามายาเป็นคำศาสนาฮินดูหมายถึงต้นกำเนิดของจักรวาล

ในภาษาสันสกฤตเป็นคำที่เกี่ยวโยงกับสภาพจิตใจ เวทย์มนตร์คาถาและแม่แม้ แต่พระมารดาของพระพุทธองค์เองก็มีนามว่าสิริมหามายา ในภาษา อียิปต์คำว่ามาเย็ตหมายถึงระเบียบของจักรวาล ส่วนในตำนานกรีกดาวที่ส่องสว่างที่สุดในกลุ่มดาวลูกไก่และเป็นน้องคนสุดท้อง ก็มีนามว่ามายาขนิษฐาของเฮดีส

ภาพปฏิทินมายา นับถอยหลัง ถึงวันสุดท้าย 21 ธันวาคม 2012 ...อะไรรอเราอยู่



ต่อไปนี้คือคําทํานายของปี2012
เดือน ตุลาคม ค.ศ. 2000 ชาวคอร์กิโนหลายคน เห็นดวงแสงลึกลับ ลอยวูบลงสู่พื้นดิน แล้วพุ่งกลับขึ้นไปในอากาศ ทิ้งรอยไหม้จนหินละลาย ซึ่งต่อมาหินละลายดังกล่าว ได้รับการตรวจสอบจากนักธรณีวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา ที่ลงความเห็นว่าหินได้รับความร้อนอย่างไม่น่าเชื่อนอกจากแสงลึก ลับแล้ว ที่นี่ยังมีชายผู้หนึ่งซึ่งอ้างว่าเขาสามารถติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้มานาน แล้ว ล่าสุดเมื่อปี 2002 เขาก็อ้างว่าเขาถูกลักพาตัวไปยังยางนอกโลกถึง 3 วัน ซึ่งงานนี้เขาไม่ได้อ้างลอยๆ นะ เขามีพยานหลักฐานอันน่าทึ่ง และยังไม่อาจพิสูจน์ค้านได้ว่าเป็นการทำปลอม หรือกุเรื่องขึ้นเสียด้วยชาย ผู้มีประสบการณ์พิเศษคนนี้ ชื่อ อูแรนเดอร์ โอลิเวียร่า เขาอ้างว่าเขาเคยติดต่อ กับมนุษย์ต่างดาวมาหลายครั้ง มนุษย์ต่างดาวของ โอลิเวียร่า ไม่ใช่ทอล ดาร์ค แอนด์ แฮนซัม แต่เป็นทอล บลอนด์ ผิวขาวร่างสูง ผมบลอนด์ ดวงตาสีฟ้าจาง โดยมีแก้วตาสีเหลืองอ่อนวางตามตัวตามแนวตั้งเหมือนตาแมว ฟังดูไม่น่าเกลียดเหมือนตัวอีทีโอลิเวียล่า บอกเราว่ามนุษย์ต่างดาวใช้สิ่งที่เรียกว่าแสงพลาสม่า เป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสารกับเขาทางโทรจิต

เหตุการณ์ที่น่าทึ่งที่สุดที่เกิดขึ้นเมื่อ 15 กันยายน 2002 คืนนั้นโอ ลิเวียร่า หายตัวไปจากห้องนอน ทิ้งไว้แต่รอยไหม้รูปร่างคนนอนบนผู้ปูเตียงและบนฝ้าเพดาน ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปไหน อีก 3 วันต่อมมจู่ๆ เขาก็กลับมาอยู่ในห้องนอนนั้น และเขาอ้างตลอดว่า เวลาที่เขาหายไปนั้นเขาถูกนำตัวไปยังยานต่างดาว








โอลิเวียร่า บอกว่าเขารู้ตัวล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ โดยเขาได้รับการติดต่อ ทางโทรจิตผ่านแสงพลาสม่า ว่ามนุษย์ต่างดาวจะมานำตัวเขาไปในคืนดังกล่าว โดยก่อนเกิดเหตุการณ์จะมีสัญญาณนำมาให้รู้ โดยจะเกิดฝนก้อนหินตกลงมาค่ำ วันที่ 15 กันยายน 2002 เวลาประมาณ 19.13 น. เพื่อนบ้านใกล้เคียงของ โอลิเวียร่า ต้องประหลาดใจที่ได้ยินเสียงอะไร ร่วงกรูกราวอยู่บนหลังคา เมื่อออกมาดูพบว่าเป็นก้อนหินกลมๆ ก้อนเล็ก ๆ ตกลงมาจากท้องฟ้า หลายคนช่วยเก็บก้อนหิน บางคนก็ถ่ายวีดีโอไว้เป็นหลักฐานด้วยเขา เล่าว่า ในขณะที่เขานอนอ่านหนังสืออยู่ยนเตียงสักครู่ก็มีแสงสีม่วงสว่างไปทั้งห้อง แสงนั้นรวมตัวเข้าเหมือนฟองสบู่ ร่างของเขาลอยทะลุเพดาน รู้สึกเหมือนกระดูถูกยืดออก แต่ไม่มีความเจ็บปวด ครั้งลอยพ้นผ่านหลังคาบ้านไป ลำแสงสีม่วงก็พลิกร่างเขาให้ยืนขึ้น เมื่อไปถึงยานต่างดาว ( ซึ่งเขาไมได้บอกว่ามันเป็นอย่างไร ) เขาก็ถูกนำตัวเข้าไปในฟองอากาศ ใบใหญ่ ซึ่งมีผิวบางใส คล้ายๆ ว่าข้างในคงจะคล้ายๆ ห้องฆ่าเชื้อ ปรับพลังงานให้สมดุลย์อะไรทำนองนั้น จากนั้นมนุษย์ต่างดาวผมบลอนด์ร่างสูง ก็พาเขาขึ้นบันไดไปยังชั้นบนของยาน ซึ่งเป็นห้องกว้างใหญ่เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ที่นั่นมนุษย์ต่างดาวให้เขาดูจอภาพ อันเป็นภาพเกี่ยวกับโลก ระบบสุริยะ และกาแล็คซี่ของเรา มนุษย์ต่างดาวบอกว่า ในวันที่ 22 ธันวาคม 2012 ( พ.ศ. 2555 ) จะเกิดปรากฎการณ์ในอวกาศครั้งใหญ่ ซึ่งจะมีผลกระทบไปทั้งจักรวาล ในวันนั้นแกแล็คซี่จะส่งแสงวาบเจิดจ้าออกมาก ดวงอาทิตย์ทุกดวงในแกแล็คซี่ จะสะท้องแสงนั้นไปยังดาวเคราะห์ที่โคจรรอบตัวมัน สิ่งมีชีวิตทั้งมวลอันมีดวงตาจะได้เห็นแสงเจิดจ้านี้ทั่วหน้ากัน โลกของเราจะปั่นป่วน ด้วยพายุสุริยะทั้งแสงอาทิตย์ก็จะร้อนจัดขึ้นคำ ทำนายของมนุษย์ต่างดาว ที่ว่าจะเกิดอาเพศขึ้นทั่วทั้งจักรวาลในวันนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ น่าแปลกที่ว่า วันที่ 22 ธันวาคม 2012 นั้นเป็นวันสุดท้ายในปฏิทินของชาวมายาอีกด้วย


ชาวมายาคือใคร และอยู่ตรงไหน ?

อาณาจักรมายา ตั้งอยู่ในอเมริกากลาง มีพื้นที่บริเวณประเทศเม็กซิโกคาบเกี่ยวกับเบลีซและกัวเตมาลา มีความรุ่งเรืองช่วง 500 ปีก่อนคริสตกาลจนถึง ค.ศ. 1502 มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่นครวากา ปัจจุบันคือ เอลเปรู มีอายุร่วมสมัยเดียวกับอารยธรรมเตโอตีอัวกาน (Teotihuacán) ซึ่งถือว่าเป็นอาณาจักรที่ใหญ่มากเพราะมีพื้นที่กินถึง ประเทศคือเม็กซิโก กัวเตมาลา และฮอนดูรัสตามประวัติ อาณาจักรแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองไพศาลมาก มีอายุยาวนานนับได้ 2000ปี ตั้งแต่คริสต์ศักราช 250 อาณาจักรแห่งนี้มีซากสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตน่าทึ่งที่สุด ไว้เป็นมรดกโลก และฝากปริศนาให้คนรุ่นหลังขบคิดกันว่าเกิดจากสาเหตุใด อาณาจักรมายาเป็นอาณาจักรแสนยิ่งใหญ่ที่ประกอบด้วยเมืองเอกหลายเมืองด้วย กันมีเมืองสำคัญหลายเมือง คือ เมืองติกัล (Tikal) เพเตน (Peten) ในประเทศกัวเตมาลา ปาเลงกอ (Palenque) ในภาคใต้ของประเทศเม็กซิโก เมืองโคปัน (Copan) ในประเทศฮอนดูรัส เมือง อิทซา (Itzar) อักซ์มัล (Uxmal) และมายาปัน (mayapan) ในบริเวณคาบสมุทรยูคาตัน เมืองของชาวมายาประกอบด้วยชุมชนเกษตรอยู่ชั้นนอก ชุมชนเมืองอยู่ชั้นในล้อมรอบจุดศูนย์กลางซึ่งเป็นบริเวณสิ่งก่อสร้างที่ใช้ ประกอบพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งสิ่งก่อสร้างนั้นมีหลายแบบ เช่น ปิรามิด วิหาร ปละปราสาทราชวัง ซึ่งสร้างจากศิลาล้วนๆ บ่บอกความเจริญรุ่งเรืองของชาวมายาอย่างดีในระหว่างปี พ.ศ. 800-1450 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยุโรปกำลังตกอยู่ในยุคมืดแห่งอวิชชา แต่สำหรับชาวมายานั้น ตามประวัติศาสตร์ได้จารึกว่า ในระยะเวลาดังกล่าว อารยธรรมมายาได้เจริญรุ่งเรืองสุดขีดมากๆได้สร้างพีระมิดและพระราชวังที่ มโหฬารและวิจิตรอลังการมากมาย





ชาวมายามาจากไหนแน่??

นักโบราณคดีหลายคน ต่างพยายามศึกษาความเป็นมาของเผ่านี้ จากหลักฐานโบราณคดีที่เหลืออยู่ แต่ก็สับสนอยู่ดีว่าพวกเขามาจากไหนกันแน่

มีศิลาจารึกขนาดใหญ่ ที่เขียนข้อความอย่างละเอียดเต็มไปหมด ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมือง ซึ่งแสดงว่าชาวมายามีภาษาเป็นของตนเองและชอบบันทึกประวัติศาสตร์ แต่..น่าเสียดาย ในข้อความศิลาจารึกนั้นกลับไม่มีใครสักคนที่อ่านออก ตีความได้สักคนเดียว

สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับมายา สันนิษฐานว่า ชาวมายาอาจสืบเชื้อสายมาจากอิสราเอล ไม่ก็กรุงทรอย คาร์เธจ ฮั่น แอตแลนติส ฯลฯปกครองด้วยระบบกษัตริย์ เรียกว่า คูฮุลอะฮอว์ (K'uhul ajaw) หรือ เทวกษัตริย์ ใช้อักษรภาพในการบันทึก มีความสามารถทางดาราศาสตร์ จนสามารถทำนายเวลาเกิดสุริยุปราคาและจันทรุปราคาได้ล่วงหน้าเป็นเวลานาน รู้จักทำปฏิทินใช้ รู้จักประดิษฐ์เลขศูนย์ใช้ในวิชาคณิตศาสตร์ รู้จักค้าขายเกลือ หยก และเครื่องปั้นดินเผา แต่ชาวมายาไม่รู้จักใช้ล้อและไม่รู้จักการถลุงแร่ ซึ่งแสดงว่าชาวมายาดำรงชีวิตเหมือนมนุษย์หินที่รู้จักใช้เพียงไม้ กระดูกสัตว์ หินปูน และหินทรายในการสร้างเมือง

นอกจากนี้ ชาวมายานับถือเทพเจ้ามาก และมีเทพเจ้ามากมาย ทั้งสุริยเทพ วสันตเทพ และมรณเทพ เทพเจ้าเหล่านี้ทรงโปรดปรานการเสวยเลือด ดังนั้น เหล่าเชลยศึกสงครามจะถูกชาวมายาฆ่าเพื่อเอาเลือดไปถวายเทพ(บางครั้งก็เลือก กันเองในเผ่า)แน่นอนมีตำนานเกี่ยวกับที่มาของชนเผ่านี้ด้วย จากคำบอกเล่าว่ากันว่า ชาวมายาสืบเชื้อสายจากพระเจ้าผิวสีขาว มีเครายาว และเดินทางมาจากฟากฟ้าโพ้น.. ???



อาณาจักรมายามีซากสิ่งก่อสร้างหลายแห่งหลายที และแต่ละที่นั้นถูกขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลกทั้งสิ้นติ กัล (Tikal) มีพีระมิดของชาวมายา สูง 212 ฟุต บนยอดวิหารมีห้องมากมาย มีแท่นบูชากับหินแกะสลักอักษรภาพเป็นจำนวนมาก ตามฝาผนังของวิหารก็มีรูปสลักเต็มแทบทุกด้านเปเตน (Peten)ปาเลงเก (Palenque) มีสิ่งก่อสร้างที่สร้างโดยปากัล พบหลุมศพจำนวนมากและในวิหารแห่งศิลาจารึก (Temple of the Inscriptions)ซีบิลชัลตุน (Dzibilchaltun) มีวิหารขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า The Temple of the Seven Dollsนัก โบราณคดียุคปัจจุบันต่างตื่นตะลึงกับสิ่งก่อสร้างอันมหัศจรรย์มากมายของชาว มายาซึ่งไม่ใช้เครื่องมือโลหะในการก่อสร้างเลย เช่น วิหารรูปทรงพีระมิด ราชวังและหอดูดาว เป็นต้น ยอดพีระมิดของชาวมายาจะแบนราบต่างจากพีระมิดของชาวอียิปต์ พีระมิดที่เมืองติกัลสูงถึง 212 ฟุต บนส่วนยอดมีห้องมากมาย และแท่นบูชากับหินแกะสลักอักษรภาพ ราชวังของเมืองติกัลเป็นอาคาร 4 ชั้น มีห้องมากถึง 42 ห้อง และเมืองอักซ์มัลมีโรงละครขนาดใหญ่มันช่างอลังการเหลือเกินอย่าว่าแต่สมัยโบราณเลย เพราะจนถึงปัจจุบันนี้การสร้างสิ่งก่อสร้างแบบนี้นับว่ายากมากๆนอกจากนี้ยังมีการสันนิษฐานถึงทฤษฏีพระเจ้าจากอวกาศหลัก ฐานสำคัญเกี่ยวกับพระเจ้าของชาวมายานี่ก็อีก รูปสลักภาพวาดแต่ละภาพล้วนสวยงามตามเอกลักษณ์แบบศิลปมายา แต่ก็น่าแปลกที่พระเจ้าของพวกเค้าล้วนพิลึกกึกกือเป็นที่สุด บางรูปเป็นรูปพระเจ้าขับยานอวกาศ บางภาพเป็นรูปสาวกของพระเจ้ากำลังปราบปีศาจร้าย และอาวุธที่อยู่ในมือ นักโบราณคดีต่างลงความเห็นว่า มันคือปืนอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อสองพันกว่าปีก่อนมีปืนใช้กันแล้วหรือครับ? ภาชนะบางชิ้นของพวกเขาก็เช่นกัน ถ้วยบางชิ้นมีภาพวาดของมนุษย์สวมหมวกอวกาศ